ร่างกายของคนเรา เมื่อเติบโตและถูกใช้งานไปเรื่อย ๆ ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายก็มักจะต้องเสื่อมสภาพและแก่ตัวลงไป จนอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ และโรคภัยตามมา
‘โรคอัลไซเมอร์’ เป็นโรคยอดฮิตของกลุ่มผู้สูงอายุที่หลายคนจะต้องเคยได้ยิน หรือรู้จักกันในชื่อ ‘โรคความจำเสื่อม’ อยู่แล้วแน่นอน โดยโรคนี้จะเริ่มเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ขึ้นไป ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 65 ปี จะมีผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์อยู่จำนวน 1% หรือ 1 ใน 100 คนนั่นเอง
การเริ่มต้นของ ‘โรคอัลไซเมอร์’
โรคอัลไซเมอร์ จะเริ่มได้รับผลกระทบจากสมองส่วน Hippocampus ซึ่งเป็นส่วนในการควบคุมการตอบสนองของอารมณ์ และการรับข้อมูลใหม่เข้ามาในสมอง ทำให้ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์จะเริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียว โมโหง่าย และควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ รวมถึงจะจำเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ เช่น จำอาหารที่ทานไปวันนี้ไม่ได้ หรือไม่รู้ว่าวันนี้ตนเองทานอาหารไปหรือยัง เป็นต้น แต่ในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยจะยังสามารถจดจำเรื่องราวเก่า ๆ ได้อยู่
สาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
โรคอัลไซเมอร์ เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง จากการที่เซลล์ประสาทถูกทำลายจนทำให้การทำงานของสมองลดลง สาเหตุที่เซลล์ประสาทในสมองตายลง ก็มาจากการที่ร่างกายผลิตพลังงานจากน้ำตาลได้ไม่ดี ทำให้เซลล์ประสาทได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ซึ่งร่างกายของเราจะไม่สามารถสร้างเซลล์ประสาทเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ได้อีกแล้ว
ภาพเซลล์ประสาท
- ‘สารบีตา แอมมิลอยด์’ ในเซลล์ประสาท
เซลล์ประสาทจะเชื่อมต่อกันไปเรื่อย ๆ โดยมี Axon เชื่อมกับ Dendrite ของอีกเซลล์หนึ่ง แต่จะมีช่องว่างเล็ก ๆ ที่มีสาร ‘บีตา แอมมิลอยด์’ (A????) ปะปนอยู่ แต่สารนี้จะถูกกำจัดออกไปโดยเอนไซม์ในร่างกาย โดยนักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดว่า บีตา แอมมิลอยด์ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ความสามารถในการกำจัด บีตา แอมมิลอยด์ ของร่างกายก็จะค่อย ๆ ลดลง
อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องของอายุ ที่จะส่งผลต่อความแก่ตัวของระบบต่าง ๆ ในร่างกายแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ทั้งการใช้ชีวิตของแต่ละคนทั้งในเรื่องของการนอน หรือการหลับลึกของร่างกาย ที่จะส่งผลให้ปริมาณของ บีตา แอมมิลอยด์ เพิ่มขึ้นได้ หรือการใช้งานสมองจนเกิดความเครียดมากเกินไป เป็นต้น
นอกจากนี้ อีกปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้สารบีตา แอมมิลอยด์ เพิ่มขึ้น คือยีนส์ในร่างกายที่มีชื่อว่า ‘apolipoprotein’ หรือ E (APOE) ดังตารางด้านล่าง
APOE ทั้ง 3 รูปแบบ | ||
APOE e2 | แทบไม่พบ | มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ |
APOE e3 | พบมากที่สุด | ไม่เพิ่มหรือลดความเสี่ยงของการเกิดอัลไซเมอร์ |
APOE e4 | พบเล็กน้อย | เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ |
ยีนส์ APOE e4 จะผลิตเอมไซม์ที่เปลี่ยนโปรตีนให้เป็นบีตา แอมมิลอยด์มากขึ้น ซึ่งทำใหไ้เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้มากขึ้นตาม
โรคอัลไซเมอร์สามารถป้องกันได้ เพียงต้องรู้จักรัก และหมั่นดูแลสุขภาพของตัวเองอยู่เสมอ ทั้งการทานอาหาร การพักผ่อน และการเลือกสิ่งดี ๆ ให้กับร่างกาย ล้วนส่งผลต่อร่างกายโดยตรง ดังนั้น อย่าลืมหันมาใส่ใจตัวเองกันด้วยนะ 🙂
ที่มา :
https://www-ncbi-nlm-nih-gov.ezproxy.tulibs.net/pubmed/31982880
https://www-ncbi-nlm-nih-gov.ezproxy.tulibs.net/pubmed/31982903
https://alzheimer.ca/en/Home/About-dementia/Alzheimer-s-disease/Risk-factors